“เวียงจันทน์” วันที่ 2 กลับไปกิน “แหนมเนือง หนองคาย”

วันที่ 2 ในเวียงจันทน์ ตื่นมาก็ลงมากินอาหารเช้า ซึ่งโรงแรมทำไว้ 3-4 อย่าง แต่หากต้องการไข่ดาว ไส้กรอก หรือ แฮมเบอเกอร์ก็สามารถสั่งห้องครัวได้ แต่ก็ไม่อร่อย เพราะคนเลือกน้ำสลัด หรือ มายองเนส อาจจะเลือกไม่เก่ง ส่วนซอสมะเขือเทศ และซอสพริก ก็ไม่ถูกปากเหมือนบ้านเรา ก็กินพออิ่ม หรือ อยากกินให้อร่อยแนะนำลงไปตลาดเช้า ซึ่งอยู่ถัดไปจากโรงแรมเพียง 1 ช่วงตึกเท่านั้น

กาแฟ – อาหารเช้าโรงแรม ยังจืด ๆไปหน่อย

กินข้าวเช้าเสร็จ ลงไปเดินเล่นชมบรรยากาศ ตลาดเวียนเทียนของลาวดีกว่า มีทั้งตลาดลานกลางแจ้งช่วงเช้า และ ตลาดขายหมู ไก่ ปลา ข้าวของเครื่องปรุงต่าง ๆ ซึ่งจะอยู่ภายใน หน้าตาผักสดก็เหมือนบ้านเรา แต่ติดราคา 5,000 กีบ 8,000 กีบ คือ 10 บาท หรือ 20 เหมือนบ้านเรา

บรรยากาศตลาดเวียนเทียน หรือ ตลาดสดของลาว
บรรยากาศตลาดเวียนเทียน ผักสดต่าง ๆไม่ต่างจากเมืองไทย

เสร็จจากเดินเล่นตลาดเช้า ก็ไปเที่ยวทำบุญวัดสีสะเกดและหอพระแก้ว ซึ่งทั้ง 2 สถานที่นี้เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทยลาวโดยตรงตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสิน ถึงรัชกาลที่ 3 กันเลย ซึ่งไม่ขอกล่าวถึง

ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ กว่าจะถึงวัดสีสะเกด

ทั้งสองแห่งเก็บค่าเข้าชม คนละ 10,000 กีบ เปิดทำการระหว่าง 8.00-12.00 และ 13.00 – 16.00 น.

วัดสีสะเกด (ภาษาลาว เรียกว่า ວັດສີສະເກດ  Si Saket Temple)

วัดสีสะเกด (Wat Sisaket) หรือวัดสะตะสะหัสสาราม (วัดแสน)  เป็นวัดที่สร้างขึ้นแห่งแรกในนครเวียงจันทน์ สตสหัสส  แปลว่า 100,000,  อาราม แปลว่า วัด,  วัดสตสหัสสาราม จึงแปลว่า วัดแสน  ในอดีตเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช (ลาว)   ศักดิ์ของวัดนี้เทียบเท่าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์ฯ ท่าเตียน ของไทย)  เหตุที่ชื่อวัดแสนก็เพราะว่า  พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชและพุทธศาสนิกชนชาวลาวในอดีต  ทรงสร้างพระพุทธรูปทั้งองค์เล็กและองค์ใหญ่ประดิษฐานไว้ทั่ววัด 100,000 องค์  ดังนั้นจึงมีชื่อเล่นว่าวัดแสน  แต่ปัจจุบันมีเหลืออยู่ประมาณ 10,000 กว่าองค์เท่านั้น  ไกด์บางคนบอกว่ามี 6,000 กว่าองค์  แต่ถึงอย่างไรก็ตาม  วัดนี้ก็มียังมีพระพุทธรูปมากที่สุดในนครหลวงเวียงจันทน์

วัดสีสะเกด นักท่องเที่ยวชาวจีน ชอบถ่ายรูปมาก แต่ในวิหารห้ามถ่ายรูป คงมีชาวตปท.บางคนที่ถ่าย แต่เราอ่านภาษาไทยออกว่า ห้ามถ่าย
มีพระพุทธรูป และ โบราณวัตถุอยู่รอบศาลาราย รอบวิหารวัดสีสะเกด

วัดสีสะเกด เป็นวัดหลวง ที่มีภาพเขียนลายผนัง (ที่เลือนหายไปบางส่วนแล้ว) และภายในทั้งส่วนกำแพง และในโบสถ์ (สิม) มีพระพุทธรูปใหญ่ เล็กเต็มไปหมด และเชื่อว่าเป็นวัดที่มีพระพุทธรรูปอยู่มากที่สุด ค่าเข้าชม 10,000 กีบนะ

ปัจจุบันวัดแห่งนี้มีส่วนที่เป็นพื้นดินสำหรับภิกษุจำพรรษาไม่มากนัก  ที่ดินส่วนใหญ่ถูกตัดแบ่งไปเป็นส่วนราชการหมด  แม้แต่ส่วนที่เป็นพระอุโบสถวัดสีสะเกด กระทรวงวัฒนธรรมก็มาดูแล  หอพระแก้วที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของวัด ทางการก็มาดูแลแทนวัดเช่นกัน มีถนนไชยเชษฐาตัดผ่าน ทำให้หอพระแก้วและวัดต้องอยู่แยกกันโดยปริยาย วัดฝั่งซ้าย หอแก้วฝั่งขวา ข้ามถนนมาก็ถึงกัน

หอพระแก้ว (ภาษาลาว เรียกว่า ຫໍພະແກ້ວHor Phakeo Museum)

หอพระแก้ว เป็นอาคารไม้แกะสลักสวยงาม แต่ไม่ใช่หลังเดิมมีการบูรณะใหม่ภายหลัง ปี 2480 – 2483 โดยเจ้าสุวรรภูมา ภายใน มีพระประธานองค์ใหม่ พระไตรปิฎกและ ตู้วางโบราณวัตถุต่างๆไว้ (ห้ามถ่ายรูปนะ มีเจ้าหน้าที่นั่งดูแลความเรียบร้อยภายใน) บรรยากาศเหมาะกับการเข้าไปนั่งสมาธิมาก ( นั่งมาแล้ว ) ค่าเข้า 10,000 กีบ

หอพระแก้ว บูรณะใหม่ – นำเลขบนหอพระมาซื้อหวย คงถูกไปละ (ห้ามถ่ายรูปในหอ)

อนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ วีรกษัตริย์ของลาว

รัฐบาลประเทศลาวได้ทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ วีรกษัตริย์ของลาว เมื่อ 7 พฤศจิกายน 2553 ซึ่งรูปปั้นเจ้าอนุวงศ์หล่อด้วยทองแดงมีน้ำหนักถึง 8 ตัน อนุสาวรีย์นี้มีความสูงถึง 15 เมตร ตั้งอยู่บนแท่นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวด้านละ 5.5 เมตร ซึ่งถือว่าเป็นอนุสาวรีย์ที่ทั้งสูงและใหญ่มาก อนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ตั้งตระหง่านอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับเมืองศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย หันพระพักตร์มาทางไทย สิ่งที่น่าสนใจมากคือพระหัตถ์ขวายื่นออกไปด้านหน้า

ลักษณะผายมือออกแม่น้ำโขงมายังฝั่งไทย แสดงถึง “ความเข้าใจและความรัก” ของชาวไทยและลาว ประวัติศาสตร์จะเป็นอย่างไร เราก็ยังเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน แค่มีเพียงแม้น้ำโขงกั้นกลางเท่านั้น

ด้านหน้าอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ เป็นถนนขนานกับแม่น้ำโขง อีกฝั่งเป็นจังหวัดหนองคาย ริมแม่น้ำจะมีร้านอาหาร ไนซ์พลาซ่าและซุ้มขายของที่ระลึก เหมาะกับการมาเล่นเดินในช่วงเย็น ๆ

ตรงข้ามเป็นฝั่ง อ.ศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

จากอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ เดินกลับมายังเส้นทางเดิม ผ่านทำเนียบประธานาธิบดีลาว และที่ทำการสำคัญๆ ของลาว

และบนถนนหลักของลาว มีธนาคารกรุงไทย , ธนาคารกสิกรไทย , ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเวียงจันทน์ อยู่บนถนนเส้นเดียวกัน เดินกลับถึงโรงแรมอาบน้ำและ Checkout กลับหนองคาย แต่ก่อนกลับ ขอเดินหาชาไข่มุกและเดินเล่นห้างสรรพสินค้าลาวซัก 2 ชั่วโมง กะว่าข้ามโขงไปถึงหนองคายซักบ่าย 2 โมง ก็นั่งรถเมล์ลาวไปตม.ลาวเหมือนเดิม

ห้างสรรพสินค้า Vientiane Center ลาว มีทุกอย่างครบ

ห้างสรรพสินค้า Vientiane Center ลาว เปิดให้ใช้บริการตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโครงการที่ได้กลุ่มลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของทุนจีนกับสิงคโปร์ มาลงทุนเพื่อยกระดับ ตามนโยบาย New Vientiane ของรัฐบาลลาว

และอีกไม่กี่เดือน ก็จะมีห้าง Parkson ซึ่งกลุ่มบริษัท Parkson Retail Group Ltd. เป็น บริษัท ย่อยของ Lion Group Malaysia ดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีก 115 แห่งทั่วเอเชียรวมถึงห้างสรรพสินค้าห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตรายได้ต่อปีสูงถึง 3.77 พันล้านดอลลาร์ จะเปิดตัว Parkson สาขาลาว ใหญ่กว่าสยามพารากอนบ้านเราอีก ตอนนี้กำลังรับสมัครพนักงานจำนวนมาก

ห้างนี้กำลังจะเปิดใหม่ ใหญ่โตเป็นอันดับ 1 ในลาว PARKSOM – ห้างพากสัม

มาถึงเวียงจันทร์ ก็มาเช็คเรตติ้งชาไข่มุกในลาวหน่อยสิ KAMA ลาว ขายดีมาก ต่อคิวกันเลยนะ ราคาปกติเท่าเมืองไทย รสชาดก็เหมือนเมืองไทย

เสร็จจากต่อคิวชาไข่มุก ก็เดินกลับไปยัง Bus Center เมืองเวียงจันทน์ ยังไม่ถึงเห็นท่ารถเมล์จอดอยู่ และมีพี่ๆ แท็กซี มาถามว่าไปด่านเวียงจันทน์มั้ย 100 เดียว ไม่ไปหรอกนั่งรถร้อน ขอนั่งรถเมล์ปรับอากาศสบายๆดีกว่า ซึ่งป้ายรถเมล์อยู่ในซอยตรงนั้นเลย ถามน้องเค้าได้ว่าขึ้นคันไหน นั่งสูดกลิ่นส้มตำ, ไก่ย่าง บนรถประมาณ 5 นาที รถก็ออกละ ก็จ่ายกับเงินลาวเหมือนเดิม ค่าโดยสารคนละ 8,000 กีบ ก็เย็นสบายดี แต่ทีวีติดไว้ทำไม สังเกตว่าไม่ได้เปิดทีวีทั้งไปทั้งกลับ

รถเมล์ถึงด่านตม.ลาว ก็หยิบหนังสือเดินทาง + เอกสารใบผ่านขาออกที่เขียนไว้แล้ว ส่งให้เจ้าหน้าที่ ไม่ถึง 1 นาที ก็มาซื้อตั๋วรถเมล์ร้อน พาข้ามสะพานกลับมาส่งที่ ตม.ฝั่งไทย

ถึงตม.ไทย คนลาวเข้าเมืองเยอะมาก แต่เราคนไทย ก็เดินผ่านเครื่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ คือ 1. สแกนหนังสือเดินทาง 2. ประตูเปิด 3. ดูกล้อง 4. สแกนนิ้วชี้ขวา 5.ประตูเปิด 6.ก็ส่งหนังสือเดินทางให้เจ้าหน้าที่บันทึกตราประจำวัน เป็นอันเรียบร้อย ไม่ถึง 3 นาที

เดินออกมาจากด่านได้ ก็โทรหาน้องบริษัทรถเช่า เพื่อรับรถเช่า ได้วีออส 1.5 CC สีขาวใหม่เอี่ยมอีกแล้ว รถเช่ามาจากอุดรธานี น้องเค้าขับมากส่ง มีค่าส่ง 300 บาท คือค่ารถตู้ให้น้องเค้ากลับไปอุดร ก็ให้ค่าเช่าพร้อมเงินประกันรถไว้ 3,000 บาท ออ วันละ 900 บาท เช่า 2 วัน ส่งเกินเวลาไป 3 ชม.ที่สนามบินอุดรธานี ..เบอร์น้องเค้าตามนี้เลย

เบอร์รถเช่า ให้มาส่งรถที่ด่านหนองคาย และ แว้นแถวหนองคาย กลับอุดร ส่งคืนที่สนามบินอุดรธานี – บริการดีมาก

รับรถแล้วไปไหนละ หิวมาก แต่ ยังไปไหนไม่ได้นะ ต้องเอาเงินลาวที่เหลือแลกเป็นเงินไทยก่อน ติดกระเป๋าไปก็ใช้อะไรไม่ได้ มีร้านรับแลกอยู่ข้าง 7-11 ตรงด่านตม.นั้นละ เงินลาว 81,000 กีบ + หนังสือเดินทาง สรุปทริปลาวแลกเงิน 1,500 บาท ใช้ 2 คน เหลือกลับมา 226.80 บาท เป็นค่าแหนมเนือง 1 จาน ใช้ไป 1,273.20 บาท

ให้ลองทายซิ กินอะไรไม่หมด ต้องใช้ถุงกลับอุดรธานี เสียดาย

อิ่มมาก ก่อนกลับ มาเดินออกมาชมบรรยากาศริมแม่น้ำโขง ฝั่งหนองคายกันบ้าง หากเป็นช่วงพระอาทิตย์ตก บริเวณนี้จะมีนักท่องเที่ยวมากินอาหารและเดินหาซื้อของฝากกัน มีทางเดินริมแม่น้ำไปตลอดถึง ตลาดท่าเสด็จและตลาดอินโดจีน ซึ่งหากมาช่วงเทศกาล จะหาที่จอดรถค่อยข้างยาก เพราะถนนริมโขงค่อนข้างแคบ

ทริปนี้ยังไม่จบ แต่ Post นี้ขอจบที่หนองคายก่อนนะ … ตอนต่อไป ไปดูเป็ดที่ “หนองประจักษ์” อุดรธานี บอกน้องเค้าว่าจะพาไปดูเป็ด เป็ดจริง ๆ

เรื่องที่เกี่ยวข้อง