สิทธิประกันสังคม และบัตรทอง ใช้รักษาโรค COVID-19 ฟรีไหม หรือถ้าสงสัยว่าตัวเองจะติดเชื้อโคโรนาไวรัส สามารถไปขอตรวจที่โรงพยาบาลได้หรือเปล่า มาหาคำตอบกัน
สิทธิประกันสังคม
ประกันสังคม รักษา COVID-19 ฟรีไหม ?
กรณีเพิ่งเดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง
• มีอาการป่วย : มีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก เจ็บคอ หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ เจ็บหน้าอก ให้สวมหน้ากากอนามัยแล้วรีบไปพบแพทย์ที่สถานพยาบาลตามสิทธิประกันสังคมที่เราเลือกไว้ได้เลย แพทย์จะส่งตรวจหาเชื้อโคโรนาไวรัสฟรี ในกรณีที่ติดเชื้อโคโรนาไวรัสขึ้นมาจริง ๆ ก็จะได้รับการรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
• แต่หากไม่สามารถไปโรงพยาบาลตามสิทธิ์ได้ เช่น ตอนนี้อยู่ต่างจังหวัด อยู่ต่างพื้นที่ เราสามารถเข้ารักษาในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ หรือโรงพยาบาลรัฐทุกแห่งตามระบบประกันสังคมได้ก่อนเลย โดยจะเบิกจ่ายเป็นกรณีฉุกเฉิน 72 ชั่วโมง ซึ่งหากเราต้องสงสัยว่าติดเชื้อและต้องถูกกักกัน ให้แจ้งโรงพยาบาลตามสิทธิ์เพื่อรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
• ยังไม่มีอาการป่วย : กรณีนี้ประกันสังคมไม่ครอบคลุมการตรวจ หากเราอยากตรวจหาเชื้อจริง ๆ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง
• อย่างไรก็ตาม กรณีที่ยังไม่มีอาการป่วยใด ๆ ไม่แนะนำให้รีบไปตรวจหาเชื้อ เพราะระยะฟักตัวของโรคอยู่ที่ประมาณ 14 วัน ดังนั้นในช่วงแรก ๆ ที่เราไปตรวจจะมีโอกาสพบเชื้อน้อยมาก และยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้คนอื่นด้วย เพราะผลตรวจเป็นลบจะทำให้เราไม่ระมัดระวังตัวเอง จนแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ นอกจากนี้ ถ้าตรวจรอบแรกไปแล้ว ผลคือไม่ติดเชื้อ แต่พอผ่านไปอีก 10 กว่าวันแล้วอาการไข้มา เริ่มไม่สบาย ก็ต้องกลับมาตรวจใหม่ซ้ำอีกครั้ง ทำให้ผลตรวจในครั้งแรกถือเป็นโมฆะเลย
ไปเที่ยวต่างประเทศกลับมาต้องตรวจเชื้อโคโรนาหาโรค COVID-19 ไหมกักตัวเองอย่างไร ?
กรณีไม่ได้เดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยง
สำหรับคนที่กลัวว่าตัวเองอาจจะติดเชื้อโคโรนาไวรัสมาแล้ว ทั้งที่ไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศ หรือไม่ได้ไปประเทศกลุ่มเสี่ยง หากต้องการตรวจหาเชื้อเพื่อความมั่นใจ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจเองเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันมีโรงพยาบาลอยู่ไม่กี่แห่งที่ให้บริการตรวจหาเชื้อโคโรนาไวรัส เช่น
ป่วยจนต้องหยุดรักษาตัว จะได้ค่าชดเชยเท่าไร ?
กรณีเราถูกตรวจพบว่าป่วย COVID 19 และแพทย์มีคำสั่งให้หยุดพักรักษาตัว เราจะยังได้รับค่าจ้าง ดังนี้
• ค่าจ้างจากนายจ้าง
• กรณีเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 สามารถใช้สิทธิ์ลาป่วยโดยได้รับค่าจ้างจากนายจ้างไม่เกิน 30 วัน/ปี
• เงินทดแทนการขาดรายได้จากประกันสังคม
• กรณีเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ประกันสังคมจะจ่ายเงินทดแทนฯ ให้ในอัตรา 50% ของค่าจ้าง (คิดจากฐานอัตราเงินเดือนสูงสุดของผู้ประกันตนแต่ละมาตรา) โดยได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน ปีละไม่เกิน 180 วัน ยกเว้นเป็นโรคเรื้อรัง จะได้รับเงินทดแทนฯ ไม่เกิน 365 วัน
ใครมีสิทธิ์รับเงินทดแทนการขาดรายได้จากประกันสังคม ?
ผู้ประกันตนมาตรา 33 (ทำงานกับนายจ้าง)
• มีสิทธิ์ได้เงินทดแทนฯ เมื่อส่งเงินสมทบภายใน 15 เดือนย้อนหลัง ไม่น้อยกว่า 3 เดือน ไม่ว่าจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม ก่อนวันที่เข้ารับการรักษาพยาบาล โดยแพทย์มีคำสั่งให้หยุดพักรักษาตัว
• ต้องลาป่วยและได้รับเงินจากนายจ้างครบ 30 วันก่อน ส่วนที่ลาป่วยเกิน 30 วัน จึงสามารถยื่นขอรับเงินทดแทนฯ จากประกันสังคมได้
• มีหนังสือรับรองจากนายจ้างว่าได้รับค่าจ้างในวันลาป่วยครบ 30 วันทำงานใน 1 ปีปฏิทินตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานแล้ว
• จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้างจริง โดยคิดจากฐานไม่เกิน 15,000 บาท ตามกฎหมายประกันสังคม โดยได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน ปีละไม่เกิน 180 วัน ยกเว้นเป็นโรคเรื้อรัง จะได้รับไม่เกิน 365 วัน
ผู้ประกันตนมาตรา 38 (ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ลาออกจากงาน แต่ยังอยู่ในสิทธิ์คุ้มครอง 6 เดือน)
• มีสิทธิ์ได้รับเงินทดแทนฯ เมื่อส่งเงินสมทบภายใน 15 เดือนย้อนหลัง ไม่น้อยกว่า 3 เดือน และเจ็บป่วยภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน โดยแพทย์มีคำสั่งให้หยุดพักรักษาตัวและต้องมีรายได้จากการประกอบอาชีพ หรือเจ็บป่วยต่อเนื่องจากการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จึงถือว่ามีรายได้จากการทำงานก่อนการเจ็บป่วย
• จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้างจริง โดยคิดจากฐานไม่เกิน 15,000 บาท ตามกฎหมายประกันสังคม โดยได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน ปีละไม่เกิน 180 วัน ยกเว้นเป็นโรคเรื้อรัง จะได้รับไม่เกิน 365 วัน
ภาพจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ผู้ประกันตนมาตรา 39 (ประกันตนเอง)
• มีสิทธิ์รับเงินทดแทนฯ เมื่อส่งเงินสมทบภายใน 15 เดือนย้อนหลัง ไม่น้อยกว่า 3 เดือน ไม่ว่าจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม ก่อนวันที่เข้ารับการรักษาพยาบาล โดยแพทย์มีคำสั่งให้หยุดพักรักษาตัว และต้องมีรายได้จากการประกอบอาชีพ
• กรณีมีรายได้ หรือมีกิจการเป็นของตนเอง ให้นำหลักฐานมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้างจริง โดยคิดจากฐานอัตราการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 39 (4,800 บาท) ตามกฎหมายประกันสังคม โดยได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน ปีละไม่เกิน 180 วัน ยกเว้นเป็นโรคเรื้อรัง จะได้รับไม่เกิน 365 วัน
• กรณีไม่ได้ทำงานกับนายจ้าง หรือไม่มีรายได้ จะไม่สามารถเบิกสิทธิ์เงินทดแทนการขาดรายได้จากประกันสังคมได้
ผู้ประกันตนมาตรา 41 (ลาออกจากมาตรา 39 แต่ยังอยู่ในสิทธิ์คุ้มครอง 6 เดือน)
• มีสิทธิ์รับเงินทดแทนเมื่อส่งเงินสมทบภายใน 15 เดือนย้อนหลัง ไม่น้อยกว่า 3 เดือน และเจ็บป่วยภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน โดยแพทย์มีคำสั่งให้หยุดพักรักษาตัวและต้องมีรายได้จากการประกอบอาชีพ หรือเจ็บป่วยต่อเนื่องจากการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จึงถือว่ามีรายได้จากการทำงานก่อนการเจ็บป่วย โดยจะได้รับสิทธิ์เหมือนกับผู้ประกันตนมาตรา 39
หากใครอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ที่สายด่วนประกันสังคม 1506 หรือทางเฟซบุ๊กสำนักงานประกันสังคมกระทรวงแรงงาน
สิทธิบัตรทอง
หากเราใช้สิทธิ์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือสิทธิบัตรทอง 30 บาท แล้วสงสัยว่าตัวเองจะติดเชื้อโคโรนาไวรัส สายพันธุ์ใหม่ 2019 ด้วยหรือไม่ สามารถใช้สิทธิ์ได้ตามนี้
กรณีมีอาการเข้าข่ายสงสัยป่วย COVID-19
– โทร. สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 หรือรีบไปตรวจที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์
– หากไม่สามารถไปตรวจที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ได้ ให้ไปที่โรงพยาบาลของรัฐ
– ต้องสวมหน้ากากอนามัย แจ้งประวัติ ไม่ปกปิดข้อมูลใด ๆ
– เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นผู้เสี่ยงติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 หรือโรค COVID-19 จะถูกส่งตัวรักษาตามกระบวนการของกระทรวงสาธารณสุข โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
กรณีอาการไม่เข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ แต่สงสัยเองว่าจะป่วย
หากต้องการตรวจหาเชื้อเอง โดยที่แพทย์ไม่ได้วินิจฉัยให้ ต้องจ่ายเงินเอง ทั้งนี้ ไม่แนะนำให้ไปโรงพยาบาลเพื่อขอตรวจเอง เพราะการไปโรงพยาบาลโดยไม่มีความจำเป็นจะเป็นการเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการได้รับเชื้อจากโรงพยาบาล
ใครเข้าเกณฑ์การเฝ้าระวังโรค COVID-19
1. ผู้ป่วยที่มีประวัติไข้ หรือวัดอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 37 องศาเซลเซียสขึ้นไป ร่วมกับอาการระบบทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่ง (ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หายใจเร็ว หรือหายใจเหนื่อย หรือหายใจลำบาก) และมีประวัติในช่วง 14 วัน ก่อนวันเริ่มมีอาการ โดย…
– มีการเดินทางไปหรือมาจากประเทศ หรือ อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการรายงานการระบาดต่อเนื่องของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 หรือ
– เป็นผู้ประกอบอาชีพที่สัมผัสใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวที่มาจากพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดต่อเนื่องของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 หรือ
– มีประวัติใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ป่วยที่ยืนยันการติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019
2. ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่หาสาเหตุไม่ได้ และมีประวัติใกล้ชิดกับผู้ที่สงสัยติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019
3. ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่หาสาเหตุไม่ได้ และเป็นบุคลากรทางการแพทย์
4. ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบเฉียบพลันชนิดรุนแรงที่หาสาเหตุไม่ได้
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน สปสช. 1330 หรือเฟซบุ๊กสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
สรุปได้ว่า หากเรามีประวัติเดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง และมีอาการป่วยที่ต้องสงสัยว่าติดเชื้อโคโรนาไวรัส สามารถไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลตามสิทธิประกันสังคม และบัตรทองได้เลย โดยแพทย์จะวินิจฉัยและส่งตรวจโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่หากเรายังไม่มีอาการป่วยใด ๆ แล้วอยากขอตรวจเพื่อความมั่นใจ ตรงนี้เราจะต้องออกค่าใช้จ่ายในการตรวจเอง
ข้อมูลจาก
ประกันสังคม, เฟซบุ๊กสำนักงานประกันสังคมกระทรวงแรงงาน, ประกันสังคม, สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ