5 พ.ค. 65 ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เสนอแผนจัดหารและฉีดวัคซีน เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่ฃได้รับความเห็นชอบจากครม. ดังนี้
แผนการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด – 19 ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเสนอแผนฯ ดังนี้
1) แผนการฉีดวัคซีนให้ครบทุกกลุ่มเป้าหมาย 100,000,000 โดส ความครอบคลุมของวัคซีนร้อยละ 70 ของประชากรไทย ภายในปี 2564 (เดือนพฤษภาคม – ธันวาคม 2564) ขณะนี้ประเทศไทย
มีการจัดหาวัคซีนแล้ว 63,000,000 โดส จึงต้องจัดหา จัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด – 19 เพิ่มเติมสำหรับประชากรในประเทศไทย จำนวน 18,500,000 คน หรือวัคซีนจำนวนประมาณ 37,000,000 โดส โดยการจัดซื้อรวมเป็นวัคซีนที่ประเทศไทยจัดหา จัดซื้อสำหรับประชากรทั้งสิ้น จำนวน 50,000,000 คน หรือวัคซีนจำนวนประมาณ จำนวน 100,000,000 โดส
2) แผนการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด – 19 ของประเทศไทย พ.ศ. 2564
วัคซีน | วัคซีนถึงประเทศไทย |
---|---|
1) วัคซีน Sinovac Biotech จำนวน 2,500,000 โดส (เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2564) | |
1.1) วัคซีน Sinovac Biotech จำนวน 200,000 โดส | วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 |
1.2) วัคซีน Sinovac Biotech จำนวน 800,000 โดส | วันที่ 27 มีนาคม 2564 |
1.3) วัคซีน Sinovac Biotech จำนวน 1,000,000 โดส | วันที่ 10 เมษายน 2564 |
1.4) วัคซีน Sinovac Biotech จำนวน 500,000 โดส | ปลายเดือนเมษายน 2564 |
2) วัคซีน AstraZeneca จำนวน 26,000,000 โดส (เดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2564) และจัดหาเพิ่มเติมอีก 37,000,000 โดส | |
2.1) วัคซีน AstraZeneca จำนวน 6,000,000 โดส | เดือนมิถุนายน 2564 |
2.2) วัคซีน AstraZeneca จำนวน 10,000,000 โดส | เดือนกรกฎาคม 2564 |
2.3) วัคซีน AstraZeneca จำนวน 10,000,000 โดส | เดือนสิงหาคม 2564 |
3) วัคซีน AstraZeneca จำนวน 35,000,000 โดส (เดือนกันยายน – ธันวาคม 2564) | |
3.1) วัคซีน AstraZeneca จำนวน 10,000,000 โดส | เดือนกันยายน 2564 |
3.2) วัคซีน AstraZeneca จำนวน 10,000,000 โดส | เดือนตุลาคม 2564 |
3.3) วัคซีน AstraZeneca จำนวน 10,000,000 โดส | เดือนพฤศจิกายน 2564 |
3.4) วัคซีน AstraZeneca จำนวน 5,000,000 โดส | เดือนธันวาคม 2564 |
3) กำหนดการเสร็จสิ้นการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด – 19 ทุกกลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมาย | วัคซีน | ผลการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด – 19 |
---|---|---|
(1) บุคลากรทางการแพทย์ | Sinovac | – ฉีดแล้ว ร้อยละ 95- ฉีดเสร็จสิ้น 2 เข็ม ครบร้อยละ 100 ภายใน เดือนพฤษภาคม 2564 |
(2) เจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่เสี่ยงสัมผัสโรค | Sinovac | – ฉีดแล้ว ร้อยละ 20- ฉีดเสร็จสิ้น 2 เข็ม ครบร้อยละ 100 ภายใน เดือนมิถุนายน 2564 |
(3) กลุ่มอาชีพเสี่ยง เช่น พนักงานขับรถสาธารณะ และครู เป็นต้น | AstraZeneca | – ฉีดแล้วจำนวนหนึ่ง (ต่ำกว่าร้อยละ 5)- ฉีดเสร็จสิ้นเข็มที่ 1 ครบร้อยละ 100 ภายใน เดือนมิถุนายน 2564 |
(4) ประชาชนผู้ที่มีโรคเรื้อรังและผู้สูงอายุ | AstraZeneca | – ฉีดแล้วจำนวนหนึ่ง (ต่ำกว่าร้อยละ 5)- ฉีดเสร็จสิ้นเข็มที่ 1 ครบร้อยละ 100 ภายใน เดือนกรกฎาคม 2564 |
(5) ประชาชนทั่วไป | AstraZeneca | – ฉีดแล้วจำนวนหนึ่ง (ต่ำกว่าร้อยละ 5)- ฉีดเสร็จสิ้นเข็มที่ 1 ครบร้อยละ 100 ภายในเดือนกันยายน 2564 |
ที่ประชุมมีมติ ดังนี้
(1) รับทราบแผนการจัดหาและการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด – 19 จำนวน 100,000,000 โดส
และโครงการจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด – 19 เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
(2) เห็นชอบในหลักการการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด – 19 ให้มีความหลากหลาย เพื่อให้ประชากรกลุ่มเป้าหมายได้รับวัคซีนครอบคลุมร้อยละ 70 โดยเร็วที่สุด ได้แก่
(2.1) ภาครัฐจัดหาวัคซีน ประกอบด้วย วัคซีน Pfizer Biontech จำนวน 5,000,000 -20,000,000 โดส วัคซีน Sputnik V จำนวน 5,000,000 – 10,000,000 โดส วัคซีน Johnson & Johnson จำนวน 5,000,000 – 10,000,000 โดส วัคซีน Sinovac จำนวน 5,000,000 – 10,000,000 โดส และวัคซีนอื่น ๆ เช่น วัคซีน Moderna วัคซีน Sinopharm วัคซีน Bharat หรือวัคซีนอื่นที่จะมีการขึ้นทะเบียนในอนาคต รวมงบประมาณค่าวัคซีน และเวชภัณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้อง โดยมอบกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
(2.2) ภาคเอกชนจัดซื้อวัคซีนอื่น ๆ เพิ่มเติม ตามแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
1. ให้ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด – 19 (ศปก.สธ.) สื่อสารและชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชน โดยจัดทำแผนภาพในการสื่อสารที่เข้าใจง่าย (อาทิ ในรูปแบบ infographic ฯลฯ) เกี่ยวกับขั้นตอนการคัดกรองและการส่งต่อผู้ป่วยโควิด – 19 และช่องทางการติดต่อเพื่อเข้ารับการรักษาในสถานที่ต่าง ๆ ให้ชัดเจน เช่น โรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลสนาม เป็นต้น
2. ให้ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด – 19 (ศปก.สธ.) ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการสำรวจข้อมูลความต้องการฉีดวัคซีนป้องกัน
โรคโควิด – 19 และเตรียมความพร้อมการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด – 19 ให้แก่กลุ่มนักการทูตและเจ้าหน้าที่การทูตที่พำนักในประเทศไทยต่อไป
6 พ.ค. 64 ถึงไทยแล้ว วันนี้! วัคซีนโควิด-19 ของซิโนแวค 1 ล้านโดส
ถึงไทยแล้ว วันนี้! วัคซีนโควิด-19 ของซิโนแวค 1 ล้านโดส
องค์การเภสัชกรรม (GPO) เผย วัคซีนโควิด-19 ของซิโนแวค จากประเทศจีน จำนวน 1 ล้านโดส ถึงไทยแล้ว วันนี้ 6 พฤษภาคม 2564 เวลา 05.35 น. โดยบรรจุในตู้ Envirotainer ระบบ Cold Chain ควบคุมอุณหภูมิ ตลอดการขนส่งเพื่อรักษาคุณภาพ
วัคซีนทั้งหมดนี้ จะขนส่งไปจัดเก็บยังคลังสำรองวัคซีนโควิด-19 ซึ่งมีการควบคุมอุณหภูมิระหว่าง 2-8 องศา ที่ศูนย์กระจายสินค้าของบริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด จากนั้นองค์การเภสัชกรรม จะเร่งดำเนินการตรวจรับวัคซีน และส่งให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตรวจสอบคุณภาพมาตรฐาน เมื่อผ่านการตรวจสอบทุกขั้นตอนแล้ว จะส่งให้กรมควบคุมโรค เร่งกระจายวัคซีนไปยังสถานพยาบาลต่างๆ เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายตามแผนโดยเร็วที่สุด
ก่อนหน้านี้ ไทยนำเข้าวัคซีนมาแล้ว 2.5 ล้านโดส รวมยอดนำเข้าวัคซีนซิโนแวคจากประเทศจีนในวันนี้ เป็นจำนวนทั้งสิ้น 3.5 ล้านโดส
7 พ.ค. 64 ผลการประชุมคณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่
ผลการประชุมคณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ น.พ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธานคณะทำงาน ถึงแนวทางในการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 สำหรับใช้ในสถานพยาบาลของรัฐ และวัคซีนทางเลือกเพื่อนำมาให้บริการในสถานพยาบาลเอกชน โดยควรกำหนดให้วัคซีนโควิด-19 เป็นสินค้าควบคุม ซึ่งสถานพยาบาลภาคเอกชนควรคัดเลือกวัคซีนโควิด-19 ทางเลือก ที่มีคุณลักษณะหรือยี่ห้อที่แตกต่างจากวัคซีนที่ภาครัฐนำเข้ามา และสามารถจัดส่งวัคซีนได้ทันภายในปี 2564 รวมทั้งในอนาคตกรณีที่มีการวิจัยและผลิตวัคซีนโควิด-19 เพิ่มเติม ก็สามารถนำเสนอวัคซีนทางเลือกรายการอื่นเพิ่มเติมต่อไปได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะทำงานฯยังได้สรุปการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพิ่มเติมสำหรับภาครัฐ ประกอบด้วย
Pfizer, Sputnik V และ Johnson & Johnson
และในการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของสถานพยาบาลเอกชนนั้น ที่ประชุมคณะทำงานฯมีความเห็นว่า ควรเป็นวัคซีนโควิด-19 ในรายการอื่น ๆ ที่ไม่ได้ให้บริการโดยภาครัฐและสถานพยาบาลของรัฐ เพื่อให้เป็นวัคซีนทางเลือกอย่างแท้จริง และไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับภาครัฐ เช่น Moderna, Sinopharm หรือวัคซีนอื่นที่มีการขึ้นทะเบียนต่อไปในอนาคต โดยขอให้มีการควบคุมราคาการให้บริการในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทางเลือกให้กับประชาชนในสถานพยาบาลเอกชนให้สมเหตุสมผล และมีราคาที่เหมาะสม ซึ่งที่ประชุมคณะทำงานฯได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ช่วยผลักดันให้มีบริษัทผลิตและจัดจำหน่ายวัคซีนเข้ามาขึ้นทะเบียนในประเทศไทยให้เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ สำหรับการจัดหาวัคซีนในสถานพยาบาลเอกชน นั้น องค์การเภสัชกรรมจะเป็นผู้บริหารจัดการและประสานกับบริษัทผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายวัคซีน โดยจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าไม่ปลอดภัย (Product Liability) และสถานพยาบาลเอกชน/ภาคเอกชนที่ประสงค์จะนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ทางเลือก จะเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะต้องชำระเงินจองวัคซีนโควิด-19 ทางเลือกล่วงหน้าให้แก่องค์การเภสัชกรรมเต็มจำนวนมูลค่าการสั่งซื้อ (100%) รวมทั้ง จัดทำประกันสำหรับกรณีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน โดยภาคเอกชนที่มีความประสงค์จะขอนำเข้าวัคซีนทางเลือก สามารถดำเนินการแต่งตั้งตัวแทนจากบริษัทวัคซีนต้นทางและยื่นหนังสือต่อองค์การเภสัชกรรม โดยที่ประชุมคณะทำงานฯเห็นควรมอบหมายให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent : LOI) เพื่อดำเนินการร่วมกับภาคเอกชนในการจัดหาวัคซีน ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการจัดหาวัคซีนที่มีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน