“กำลังรู้สึกคิดบวก” แชร์ “ผู้ติดเชื้อ Covid-19” ขณะ “แมทธิว-ลีเดีย” แชร์ข้อมูลรักษา

Tong Muaythai กำลังรู้สึกคิดบวกที่ โรงพยาบาลศิริราช

ใครกำลังกังวลว่าจะติดโควิด ผมมีคำแนะนำนะครับ

1. สำรวจตัวเองว่ามีความเสี่ยงไหม หมายความว่า คนใกล้ชิดของคุณต้องติดเชื้อแล้ว !!! อันนี้ถึงเรียกว่าเสี่ยงจริงนะครับยํ้าว่าใกล้ชิดมากๆชนิดที่หายใจรดกัน กินข้าวจานเดียวกัน กินนํ้าแก้วเดียวกัน กอด จูบกัน สัมผัสกัน ประเภทเคยเดินสวนกัน ยืนคุยกัน กินข้าวแต่คนละจาน คนละแก้ว เตะบอลกัน ไปวิ่งไปเล่นกีฬาที่ไม่สัมผัสตัวกัน แบบนี้ไม่นับนะจ๊ะ !!!! จริงๆหมอบอกว่า คนที่จะแพร่เชื้อได้คือคนที่มีอาการแล้ว เพราะเชื้อมันมีปริมาณมากพอ และแพร่ไปทางของเหลวที่ออกจากร่างกาย ผ่านการไอ จาม เป็นละอองฝอย เพราะฉะนั้นก่อนมีอาการ โอกาสแพร่เชื้อจึงน้อยมากๆๆ กลุ่มเสี่ยงจึงเป็นคนใกล้ชิดที่สัมผัสผู้ป่วยในช่วงที่ออกอาการแล้วเป็นหลักครับ แล้วดูย้อนหลังประมาณ 3-5 วันก็พอ

2. ถ้ามีข้อ1 ก็ทำตามนี้ คือ กักตัวเอง 14 วัน !!! ยังไม่ต้องไปตรวจใดๆทั้งสิ้น เพราะถึงไปก็อาจไม่เจอเชื้อ แถมไปเพิ่มภาระให้เจ้าหน้าที่รพ.อีก แทนที่เค้าจะเอาเวลาไปดูแลคนป่วยจริงๆ ยํ้าอีกที !!! ไม่ต้องรีบไปตรวจ อย่าตื่นตระหนกจนไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นดีกว่า แค่ดูแลตัวเองให้ดีก็พอนะครับ !!!

3. ขณะที่กักตัวเอง ถ้าเกิดมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ เจ็บคอ ไอ เมื่อยเนื้อตัว หายใจลำบาก หืดหอบ เหนื่อยผิดปกติ ก็คืออาการป่วยต่างๆนี่ล่ะ จึงรีบไปหาหมอให้เค้าตรวจจริงจัง อย่าลืมว่าตอนออกจากบ้านก็ต้องป้องกันอย่าแพร่เชื้อระหว่างทางด้วยนะครับ

4. ถ้าผลตรวจเป็นบวก ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะว่าคุณติดโควิดแล้ว แต่ไม่ต้องตกใจหรือกังวลใจเกินไป เพราะ #โควิดเป็นได้ก็หายได้ ทางรพ.จะบอกแนวทางการรักษาของแต่ละคน จริงๆแล้วก็คือ รักษาตามอาการนั่นเอง เพราะโรคนี้เป็นโรคใหม่ล่าสุดของมวลมนุษยชาติ จึงยังไม่มียารักษาหรือวัคซีนป้องกันที่ชัดเจน แต่ตามหลักของธรรมชาติร่างกายของมนุษย์นั้นน่าอัศจรรย์ เมื่อมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะพยายามกำจัดมันเอง บางโรคที่เรารู้จักมันแล้ว ร่างกายก็กำจัดมันง่ายหน่อย แต่เชื้อโควิดมันมาใหม่ ร่างกายอาจใช้เวลาทำความรู้จักและกำจัดมันนานหน่อย ก็แค่นั้นเองความน่ากลัวอยู่ที่ บางคนร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัว เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจและปอด ไวรัสตัวนี้ก็จะมีอานุภาพการทำลายล้างเยอะหน่อย คนกลุ่มนี้จึงต้องระวังเป็นพิเศษ ส่วนคนปกติ อย่ากังวลไปเลย ยังไงก็หาย แค่ช้าหรือเร็วแล้วแต่คนไป หมอจะให้คนที่มีไข้ก็กินพาราลดไข้ คนที่ไอก็กินยาแก้ไอ มีนํ้ามูกก็กินยาลดนํ้ามูก คนเจ็บคอก็กินยาฆ่าเชื้อไป เดี๋ยวอาการก็จะค่อยๆดีขึ้นเอง การรักษามีแค่นี้เอง

ที่ศิริราช มีวิธีรักษาเพิ่มอีกหน่อย คือ ให้ยาต้านไวรัส ( 8เม็ด/วัน ) และ ยาแก้มาเลเรีย ( 2เม็ด/วัน ) ทั้งหมด 5 วัน เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัส ( ได้ผลหรือไม่ก็แล้วแต่ร่างกายของแต่ละคน เพราะอย่างที่บอกว่า ยังไม่มีการยืนยันจากกรมอนามัยโลกว่า มียารักษาโควิดได้ผล 100%) ยาทั้งสองตัวนี้ มีผลข้างเคียงค่อนข้างหนัก เพราะยาแรงมาก ตอนผมกิน มีอาการ คลื่นไส้ พะอืดพะอมตลอดเวลา มึนหัว หายใจลำบาก กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ กินไม่ได้ ทรมานสุดๆ บางครั้งคิดว่าตัวเองจะไหวไหม มันแย่มากๆ แต่หมอและพยาบาลจะคอยดูแลเรา รักษาตามอาการต่างๆ ประคับประคองให้ผ่านช่วง 5 วันอันตรายไปให้ได้

ผมได้คุยกับคนไข้คนอื่นๆ ก็มีอาการเดียวกันเกือบหมด มากบ้างน้อยบ้าง ทรมานเหมือนกัน หลังจากหยุดยา อาการต่างๆจะดีขึ้นเรื่อยๆ กินได้ นอนหลับ ความเครียดจะลดลงไปได้เยอะเลยสุดท้ายคุณหมอบอกว่า โดยเฉลี่ยคนที่เป็นโควิด ใช้เวลารักษาตัวจนเชื้อหมดประมาณ 7-30 วัน แล้วแต่สภาพร่างกายความแข็งแรงของแต่ละคน เมื่อผลตรวจเป็นลบ 2 ครั้งติดก็กลับบ้านได้ ถือว่าหายขาดแล้ว และร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันโรคนี้ไปอีกนานเลย โอกาสติดเชื้อยากขึ้นและถ้าติดอีกก็จะหายไวขึ้น ถือเป็นข้อดีก็ว่าได้นะครับ

ตอนนี้ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โอกาสติดเชื้อมีอยู่ตลอด แค่เราป้องกันตัวเองดีๆ ดูแลคนรอบข้าง รับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม ไม่จำเป็นงดการเดินทางไปเลย ใช้ชีวิตอย่างมีสติที่สุด อย่าเอาแต่เสพข่าวแล้วไม่ป้องกัน อย่าวิตกจนพากันเครียด เพราะสุดท้ายแล้ว เราอาจไม่ติดโควิดแต่เราจะเสียสติจากสิ่งที่เรากังวลเกินไปก็เป็นได้นะครับ#โควิดเป็นได้ก็หายได้#เดี๋ยวกูจะหายให้ดูปล.ข้อเขียนนี้เป็นแค่ความเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวของผม ไม่มีข้อมูลอ้างอิงใดๆทางการแพทย์นะครับ

หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับหลายๆคนที่กังวลใจอยู่นะครับ แชร์ได้เลย ผมยินดี

“แมทธิว-ลีเดีย”ออกICUแล้วแชร์ข้อมูลรักษาติดโควิด-19

“แมทธิว-ลีเดีย” ออกจากICU แล้ว แชร์ข้อมูลเข้ารับการรักษาหลังติดเชื้อโควิด-19 วอนประชาชนอยู่บ้าน เพราะทีมแพทย์-พยาบาลทำงานหนักมาก

ล่าสุด ลีเดีย ได้เผยภาพคู่สามี พร้อมแชร์ข้อมูลอาการป่วยให้ประชาชนได้รับทราบ โดยเจ้าตัวโพสต์ผ่านอินสตาแกรมว่า

หลังจากที่ต้องแยกกันมาอาทิตย์กว่า ตอนนี้เดียกับพี่แมทได้อยู่ด้วยกันแล้วค่ะ มีกำลังใจดีขึ้นเยอะค่ะ

อาการช่วงแรกของเดียที่เข้าโรงพยาบาลคือไม่เป็นอะไรเลยที่บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นหวัด ไม่เจ็บคอแล้ว ไม่มีน้ำมูกเลย ไม่ไอ แต่มีไข้ 37กว่า ก็เลยทำให้คิดว่ากำลังจะหาย จากการ Xray วันแรกก็ไม่เห็นอะไรในปอด สัญญาณทุกอย่างดีหมด แต่คุณหมอท่านสั่งทำ CT scan วันรุ่งขึ้น ผลออกมาคือไวรัสเข้าไปในปอดแล้ว แต่ไม่แสดงอาการเลย เดียไม่หอบ ไม่เหนื่อย ระดับออกซิเจนดีหมด แต่ปอดเริ่มอักเสบ

เดียถูกย้ายไปไอซียูเพื่อเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดและเริ่มทานยาทันที เดียรู้สึกแข็งแรงดีทุกอย่าง หายใจได้ ไม่มีอาการหวัด แต่มีผลข้างเคียงจากยาที่ทานเพราะค่อนข้างแรงและเยอะ อาการจากยาก็จะมีเวียนหัว คลื่นไส้ ท้องเสีย ไม่อยากอาหาร และตามัวเหมือนสายตาสั้น ก็ต้องพยายามทานข้าวให้ได้เพื่อจะได้ทานยา

หลังจากเริ่มยาและอยู่ไอซียูมา 5 วัน เดียไม่มีไข้แล้ว สัญญานทุกอย่างดี Xray ปอดดูไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ก็ได้ย้ายออกจากไอซียู ตอนนี้ได้อยู่ด้วยกันกับพี่แมทแล้วค่ะ

อาการของพี่แมทแตกต่างจากเดีย พี่แมทไปถึงโรงพยาบาลวันแรกๆมีไข้และคัดจมูกและมึนๆหัวนิดหน่อย แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีไข้ไปอีก3วัน ตอนนั้นไม่ได้ทานยา ก็คิดว่าเริ่มดีขึ้น แล้วปล่อยให้หายเองได้ แต่หลังจากนั้นไข้กลับมาใหม่และท้องเสียหมอรีบ Xray ก็พบว่าเร่ิมมีอาการปอดอักเสบเหมือนเดีย พี่แมทจึงเข้า ICU และเริ่มยาทันที หลังจากกินยา ตอนนี้ทั้งคู่ไม่มีไข้แล้ว และออกจากไอซียูแล้ว

ตอนนี้คุณหมอและพยาบาลทำงานกันหนักโดยที่ไม่ได้กลับบ้านกันเลย ขอความร่วมมือจากทุกคนให้อยู่บ้าน อย่าออกไปรวมตัวกันเป็นกลุ่มข้างนอก ถ้าจำเป็นต้องออกก็ขอให้ใช้ความระมัดระวัง พยายามหลีกเลี่ยงที่ๆคนเยอะๆ ช่วยกันนะคะ เราจะได้ผ่านมันไปได้ค่ะ

ล่าสุด 18 เม.ย. 2563 ลีเดียและแมทธิวก็ได้ประกาศข่าวดีว่าตนทั้งสองปลอดภัยและได้กลับบ้านแล้ว

“หลังจากรักษาตัว อยู่ที่โรงพยาบาลนานกว่า 30 วัน ตอนนี้พวกเราปลอดภัยแล้ว และเราสองคนได้กลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว เราจะทำตามคำแนะนำของคุณหมอทุกอย่าง เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ขอขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่ส่งมาให้เราทั้งครอบครัวค่ะ”

เรื่องที่เกี่ยวข้อง